ให้นึกภาพบัญชีธนาคาร/กระเป๋างบประมาณ 5 ใบ (จะเป็นบัญชีจริงต่างธนาคาร หรือบัญชีย่อยในระบบบัญชีก็ได้) จุดประสงค์คือ “แยกเงินตามงานของเงิน” เพื่อคุมได้และเล่าให้ธนาคารเข้าใจได้ในหน้าเดียว
กระเป๋า 1 — “กระเป๋าคงที่” (Fixed & Payroll)
ไว้ทำอะไร: จ่ายรายจ่ายประจำทั้งหมด เช่น เงินเดือน ค่าเช่า ค่าอินเทอร์เน็ต/ไฟ/น้ำ/ระบบคลาวด์
ตั้งงบอย่างไร: จับค่าใช้จ่ายคงที่เฉลี่ย 3–6 เดือน ตั้ง วงเงินขั้นต่ำ ที่ต้องมีทุกต้นเดือน และย้ายเงินเข้าทันทีที่รับชำระ
เหตุผล: ธนาคารชอบเห็น “วินัย” เงินออกสม่ำเสมอ บัญชีนี้ทำหน้าที่เหมือนเครื่องช่วยหายใจของบริษัท
กระเป๋า 2 — “กระเป๋าหมุนสั้น” (Working Capital/OD/Factoring)
ไว้ทำอะไร: ซื้อวัตถุดิบ ตุนสต็อก จ่ายค่าแรงชั่วคราว เพื่อรอเงินลูกค้าเข้าใน 30–90 วัน
เครื่องมือที่ใช้:
-
วงเงิน OD (คิดดอกตามวันที่ใช้จริง)
-
แฟคตอริ่ง/ส่วนลดบิล สำหรับ “บิลยาว” บางใบ เพื่อตัดวันรอเงิน (DSO)
-
เอกสารดิจิทัลผ่าน e-Invoice/PromptBiz เพื่อให้ปล่อยเงินเร็วขึ้นและตรวจสอบได้จริง (สำคัญมากสำหรับเคส สินเชื่อSMEไม่มีหลักทรัพย์2568)
วิธีตั้งวงเงิน: วาดปฏิทินเงินสด 12 สัปดาห์ คำนวณ “หลุมเงินสดสูงสุด” (ติดลบกี่บาทกี่วัน) ตั้งวงเงิน OD ประมาณหลุมนั้น + กันชนเล็กน้อย
กระเป๋า 3 — “กระเป๋าลงทุนยาว” (Capex/Term)
ไว้ทำอะไร: สิ่งที่เพิ่มศักยภาพถาวร—เครื่องจักร ปรับไลน์ ระบบ QC/ERP ปรับสาขา
เครื่องมือที่ใช้: Term Loan กำหนดงวดให้สอดคล้องกับอายุประโยชน์และรายได้ใหม่
ทิป: ต่อรอง “พักเงินต้น 1–2 เดือนแรก” ช่วงติดตั้ง และสิทธิ “ปิดก่อนกำหนดค่าปรับต่ำ” เผื่อรีไฟแนนซ์ ถ้าดอกรวมทรงตัว/ปรับลง (สอดคล้องบริบทที่กนง.คงดอก 1.50% ล่าสุด)
กระเป๋า 4 — “กระเป๋าฉุกเฉินธุรกิจ” (Buffer & Risk)
ไว้ทำอะไร: กันชนสำหรับเหตุไม่คาดคิด—งานเลื่อน ชิ้นส่วนขาด ชำระหนี้ลูกหนี้ล่าช้า
ขนาดที่แนะนำ: 1–1.5 เท่าของ “ค่าใช้จ่ายคงที่ต่อเดือน” หรือ 0.5–1 เท่าของ “หลุมเงินสดสูงสุด” (แล้วแต่ธุรกิจ)
ทำไมจำเป็น: ปีนี้ความเสี่ยงภายนอกสูง จากความตึงเครียดการค้าโลกและความไม่แน่นอนด้านอุปสงค์—ผู้บริหาร ธปท. ระบุชัดว่าความเสี่ยงจาก US–China เป็นปัจจัยหลักที่ต้องเฝ้าระวัง จึงเน้นมาตรการเฉพาะจุดและความยืดหยุ่นของเครดิตเป็นสำคัญ
กระเป๋า 5 — “กระเป๋าภาษี–หนี้–เงินปันผล” (Compliance & Commitments)
ไว้ทำอะไร: แยกภาษีซื้อ–ขาย ภาษีนิติบุคคล เงินงวดธนาคาร และเงินปันผล (ถ้ามี) ออกจาก “กระเป๋าคงที่” เพื่อลดความเสี่ยงลืม/ปะปน
ทิป: ตั้ง Standing Instruction โอนเข้ากระเป๋านี้ทุกครั้งที่มีรายได้เข้า (เช่น 5–8% เพื่อภาษี, x% เพื่อหนี้) จะทำให้วินัยทางการเงิน “อัตโนมัติ”
ทำไม “แยกเป็น 5 กระเป๋า” ช่วยให้กู้ได้ง่ายขึ้น (โดยเฉพาะไม่มีที่ค้ำ)
-
เล่าเรื่องง่าย: ธนาคารเข้าใจทันทีว่าเงินสั้น–เงินยาวใช้ต่างกัน คุณไม่ได้เอา OD ไปซื้อเครื่องจักร หรือเอา Term ไปโปะค่าวัตถุดิบ—ลดความเสี่ยงในสายตาผู้พิจารณา
-
โชว์วินัย: กระเป๋าคงที่ + กระเป๋าภาษี–หนี้ สะท้อนการจ่ายตรงเวลา เป็นสิ่งที่ธนาคารมองหาใน สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
-
พิสูจน์ด้วยดิจิทัล: ใบแจ้งหนี้/การรับชำระผ่าน PromptBiz เป็น digital footprint ที่ธนาคารเชื่อได้ ช่วยให้เข้าถึง สินเชื่อ SME วงเงินสูง ได้ด้วย “ข้อมูล” ไม่ใช่ “ที่ดิน”
-
ต่อรองได้จริง: เมื่อเห็นเงินเดินชัด คุณคุยเรื่องดอกคิดตามใช้จริง (OD), พักต้น (Term), ค่าปรับปิดก่อนกำหนดต่ำ ได้มีน้ำหนักกว่า เพราะตัวเลขสนับสนุน
วิธีลงมือภายใน 14 วัน (เวอร์ชันลงสนาม)
สัปดาห์ที่ 1
-
ดึงสเตทเมนท์ 6–12 เดือน + ยอดขายรายเดือน
-
วาดปฏิทินเงินสด 12 สัปดาห์ หา “หลุมสูงสุด”
-
สร้าง/แยกบัญชี 5 กระเป๋า (หรือสร้างงบประมาณย่อยในระบบบัญชีเดิม)
-
เปิดใช้ e-Invoice/ตั้งค่าการวางบิลบนระบบที่เชื่อม PromptBiz (ถ้าเพิ่งเริ่ม ให้ทดลองกับลูกค้าหลักก่อน)
สัปดาห์ที่ 2
-
ตั้งกติกาโอนเงินอัตโนมัติระหว่างกระเป๋า (Standing Instruction)
-
ทำแผ่นเดียว “Executive Summary” สำหรับยื่นสินเชื่อsme :
-
โมเดลธุรกิจ/ลูกค้าหลัก
-
5 กระเป๋าที่ตั้งแล้ว + กติกาใช้เงิน
-
หลุมเงินสดสูงสุด + วงเงิน OD ที่ต้องการ
-
โครงการลงทุน + งวด Term ที่สัมพันธ์รายได้ใหม่
-
KPI หลังได้เงิน (DSO ลดลงกี่วัน, รอบผลิตเพิ่มกี่ %, เงินสดปลายเดือนเป็นบวก)
-
สำรวจ “คานงัด” เพิ่มเพดานวงเงิน เช่น การค้ำ บสย. และติดตามความคืบหน้า NaCGA ซึ่งรัฐ–ธปท.กำลังผลักดันเพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอี
หมายเหตุบริบทธนาคาร: ภาคธนาคารไทยเผชิญการหดตัวของสินเชื่อหลายไตรมาสติดกัน ทำให้สถาบันการเงินคัดกรองเข้มขึ้น—ยิ่งเอกสารคุณ “สะอาดและเป็นดิจิทัล” โอกาสผ่านยิ่งสูงขึ้น และคุยเงื่อนไขได้จริงกว่า
Q&A: คำถามที่ได้ยินบ่อยเวลานำ “5 กระเป๋า” ไปใช้
ถาม: ถ้าไม่มีที่ดินค้ำ จะได้ สินเชื่อ SME วงเงินสูง ไหม?
ตอบ: ได้ หากข้อมูลชัด—โดยเฉพาะ “กระเป๋าหมุนสั้น” ที่พิสูจน์ด้วย e-Invoice/PO/ประวัติรับชำระ และ “กระเป๋าลงทุนยาว” ที่มี Payback/ผลลัพธ์วัดได้ ธนาคารให้คะแนน “ข้อมูลจริง” มากขึ้นในปีนี้ ทั้งยังมี NaCGA ที่รัฐผลักดันเพื่อขยายการค้ำระดับประเทศในระยะถัดไป
ถาม: ต้องมี OD เสมอไหม?
ตอบ: แนะนำให้มีเท่าหลุมเงินสดสูงสุด เพื่อเป็น “แบตสำรอง” แต่ใช้–คืนตามรอบจริง (ดอกคิดตามวันที่ใช้) ไม่ใช่ใช้ลากยาวแทนเงินลงทุน
ถาม: เศรษฐกิจผันผวน จะเสี่ยงไหม?
ตอบ: นี่คือเหตุผลที่ต้องมี “กระเป๋าฉุกเฉินธุรกิจ” และทำ stress test (ฐาน–ดี–แย่) ล่วงหน้า บริบทการค้าต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง ธปท.ก็ย้ำประเด็นนี้—การมีกันชนช่วยให้ไม่ต้องรีบกู้ผิดประเภทเวลามีเหตุกระทบ
เช็กลิสต์ก่อนยื่น สินเชื่อ sme ไม่มีหลักทรัพย์ 2568
-
ตั้ง 5 กระเป๋า แล้วมีหลักฐานการเคลื่อนเงินชัด
-
ปฏิทินเงินสด 12 สัปดาห์ + หลุมสูงสุด (กำหนดวงเงิน OD จากตัวเลขจริง)
-
แผนลงทุนยาว + งวดผ่อนที่สัมพันธ์รายได้ใหม่ (Term)
-
ตั้ง e-Invoice/PromptBiz และแนบรายงาน digital footprint ของยอดขาย–การรับชำระ (ช่วยการอนุมัติรวดเร็ว)
-
รายการต่อรอง: ดอกคิดตามใช้จริง (OD), พักเงินต้น (Term), ค่าปรับปิดก่อนกำหนดต่ำ, ค่าธรรมเนียมรวมจุดเดียว
-
พิจารณา ค้ำรัฐ/บสย./NaCGA เพื่อเพิ่มเพดานวงเงิน (ชั่งค่าค้ำกับประโยชน์)
สรุป: แยกเงินให้ตรงงาน แล้ว “เล่าเรื่องด้วยตัวเลข”
5 กระเป๋า ไม่ใช่แค่เทคนิคบัญชี แต่เป็น “ภาษากลาง” ที่เจ้าของกิจการคุยกับธนาคารรู้เรื่องทันที—เงินเดือนและคงที่อยู่ใบไหน, หมุนสั้นอยู่ใบไหน, ลงทุนยาวอยู่ใบไหน, กันชนอยู่เท่าไร, ภาษี–หนี้ตุนไว้ครบไหม เมื่อเล่าแบบนี้ โอกาส สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือการขอ สินเชื่อ SME วงเงินสูง ก็เพิ่มขึ้น เพราะคุณไม่ได้ขอ “กู้เยอะ” แต่กำลังขอ “กู้ให้ตรงงาน” พร้อมหลักฐานดิจิทัลรองรับ
อ่านต่อ (บทความหลัก)
อยากเห็นตัวอย่างเชิงลึก วิธีแบ่งงบ 5 กระเป๋า พร้อมเทมเพลตปฏิทินเงินสด 12 สัปดาห์ และเคล็ดลับยื่นแฟ้มหน้าเดียวให้ธนาคารเข้าใจทันที แนะนำอ่านบทความหลักหัวข้อ “การวางแผนใช้เงินกู้ สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ”